ทัวร์มอลตา เกาะซิซิลี อิตาลีใต้ 10 วัน
ทัวร์
ยุโรป
ระยะเวลา
10 วัน 7 คืน
สายการบิน
วันเดินทาง
23 มี.ค.-1 เม.ย. / 4-13 พ.ค. / 12-21 ต.ค. 2567
Hilight

           โกลบอล ฮอลิเดย์ ขอนำเสนอเส้นทางการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและความสวยงามของมรดกโลกในทวีปยุโรป เยือนบารี เมืองทางตอนใต้ของอิตาลี เกาะซิซิลี และประเทศมอลต้า สัมผัสความสวยงามโซนยุโรป และเยี่ยมชมมรดกโลกถึง 10  แห่ง ของอิตาลีใต้ และยังนำท่านสัมผัสภูเขาไฟเอตน่า (Mount Etna) ที่ขึ้นชื่อว่า เป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับที่อยู่สูงที่สุดในยุโรป มีความสูงถึง 3,323 เมตร โดยบนยอดเขาจะมีหิมะปรกคลุมยาวนานตลอด เดือนของทุกปี นอกจากนี้ภูเขาไฟแห่งนี้ยังได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ
               มอลต้า หรือ สาธารณรัฐมอลตา เป็นประเทศหมู่เกาะขนาดเล็กที่สุดในโลก ตั้งอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีเมืองหลวงชื่อเมืองวัลเลตต้า (Valletta) มอลตาตั้งอยู่ทางตอนใต้ของยุโรป ถัดลงมาจากตอนใต้ของประเทศอิตาลี นับเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานแห่งหนึ่งในยุโรป เพราะเคยถูกครอบครองและถูกแย่งชิงในสงครามประวัติศาสตร์นับครั้งไม่ถ้วนในอดีต และที่นี่ยังมีแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมมากมายทั้งทางธรรมชาติและทางวัฒนธรรม รวมทั้งแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นมรดกโลก
           เกาะซิซิลี หรือ ซีชีเลีย คือหนึ่งในยี่สิบแคว้น และหนึ่งในห้าแคว้นปกครองตนเองของประเทศอิตาลี เป็นเกาะที่ตั้งอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางภาคใต้ของประเทศอิตาลี โดยมีช่องแคบเมสซีนาคั่นระหว่างตัวเกาะกับแผ่นดินใหญ่ เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดของอิตาลีและในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน 

แผนการท่องเที่ยว
  • Day 1
    กรุงเทพฯ – มอลต้า
    • 20.30 น. พร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ชั้น 4 ประตู 9 เคาน์เตอร์สายการบินเตอร์กิชแอร์ไลน์ แถว U (U14-18) พร้อมเจ้าหน้าที่คอยให้บริการดูแลโหลดสัมภาระ
      23.00 น. เหินฟ้าสู่ อิสตันบลู ประเทศตุรกี เที่ยวบินที่ TK 069 (23.00-05.20)(ใช้เวลาบิน 10 ชั่วโมง 20 นาที) 

  • Day 2
    มอลต้า-โบสถ์มอสต้า- เมดิน่า– เมืองวัลเลตตา
    • 05.20 น.        เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติอตาเติร์ก กรุงอิสตันบลู ผ่านพิธีการศุลกากรและตรวจคนเข้าเมือง แล้วเช็คอินต่อเครื่อง
      08.10 น. เหินฟ้าสู่ วัลเลตตา ประเทศมอลตา เที่ยวบินที่ TK1369 (0810-09.40) (ใช้เวลาบิน 4 ชั่วโมง 30 นาที) 
      09.40 น. เดินทางถึง ประเทศมอลต้า (Malta) หรือ สาธารณรัฐมอลตา เป็นประเทศหมู่เกาะที่ตั้งอยู่ในคาบสมุทรเมดิเตอร์เรเนียนอยู่ทางตอนใต้ของประอิตาลี อยู่ห่างจากเกาะซิซิลีของประเทศอิตาลีประมาณ 97 กิโลเมตร ประเทศมอลต้ามีภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน คือมีภูมิอากาศแบบเขตกึ่งเขตร้อน และมีฝนตกในบริเวณอื่นที่นอกเหนือจากดินแดนแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มอลต้าเป็นประเทศที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกและมีประชากรหนาแน่นที่สุดเป็นอันดับห้าของโลก เมืองหลวงมีชื่อเรียกว่า เมืองวัลเลตตา (VALLETTA) เป็นเมืองหลวงที่เล็กที่สุดของสหภาพยุโรป และชื่อเมืองแห่งนี้ตั้งชื่อตามชื่อของ JEAN PARISOT DE LA VALETTA ผู้ซึ่งสามารถป้องกันการรุกรานเกาะมอลต้า จากออตโตมันในปี ค.ศ.1565 เมืองวัลเลตตา (VALLETTA) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1980  และภาษามอลต้าได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการว่าเป็นภาษาประจำชาติและเป็นภาษาเซมิติกเดียวในสหภาพยุโรป มอลต้าเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่มีสภาพภูมิอากาศอบอุ่น และมีแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นมรดกทางสถาปัตยกรรมและทางประวัติศาสตร์มากมาย รวมถึงมีสถานที่ที่เป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก้ (UNESCO) อีกถึง 3 แห่ง      จากนั้นนำท่านชม โบสถ์มอสต้า โดม (Mosta Dome) เป็นโบสถ์โรมันคาทอลิคทรงกลม ที่สวยงามและเป็นการออกแบบที่สวยที่สุดในมอลต้า มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของยุโรป โบสถ์มอสต้า โดมแห่งนี้ สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1860 ใช้เวลา 27 ปีในการสร้างและออกแบบโดยนักออกแบบชาวฝรั่งเศสที่อาศัยอยู่ในเมืองมอสต้า ที่ชื่อ George Grognet de Vasse สร้างเพื่ออุทิศให้กับพระแม่มารี โบสถ์แห่งนี้จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้ โดยเฉพาะมีเหตุการณ์ที่มีปาฏิหารเกิดขึ้น ในช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่โบสถ์โดนระเบิดทิ้งลงตรงใจกลางโดม และตกลงไปข้างในในขณะที่มีคนอยู่ข้างในกว่า 300 คน แต่ระเบิดก็ไม่ระเบิดออกมา ทำให้เชื่อว่านี่คือ ปาฏิหารย์ที่เกิดขึ้นอย่างเหลือเชื่อ
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย นำท่านชม  หมู่บ้านทา กาลี  (Ta 'Qali) เดิมเคยเป็นพื้นที่ในส่วนของฐานทัพอากาศของอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ตั้งอยู่ตอนกลางของเกาะมอลตา ปัจจุบันที่นี่เป็นสนามฟุตบอลแห่งชาติ สวนสาธารณะ ศูนย์กลางการประชุม และหมู่บ้านหัตถกรรม นำท่านเดินเล่นชมรอบๆทา กาลี ที่จัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยว เนื่องจากผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นมากมายที่ทำที่นี่ ท่านสามารถเยี่ยมชมงานฝีมือด้านต่างๆและหาซื้อของที่ระลึกได้จากที่นี่
      จากนั้นนำท่านชม เมืองเมดิน่า (Mdina) เป็นเมืองหลวงโบราณของมอลตา เป็นเมืองที่สร้างในยุคกลางที่มีความสวยงามมาก มีอาคารสถาปัตยกรรมโบราณในรูปแบบบาร็อก มหาวิหาร และมีกำแพงล้อมเมืองที่สูงตระหง่าน เมืองมีชื่อเรียกแตกต่างกันในแต่ละยุคสมัย แต่ปัจจุบันเมืองเป็นที่รู้จักกันในหมู่ชาวมอลตาในชื่อเมืองว่า “เมืองแห่งความเงียบสงบ” (Silent City) ขอแนะนำว่าการชมเมืองนี้ที่ดีที่สุด คือ การเดินเท้าเยี่ยมชมไปเรื่อยๆตามถนน ตรอก ซอก ซอย ท่านจะได้รับอรรถรสอย่างเต็มที่ เมืองเอ็มดีน่าแห่งนี้ยังได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรกดโลก ด้วยอายุที่มากกว่า 6,000 ปี 
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ 
      เข้าพักผ่อนที่โรงแรม HOTEL PRELUNA 4*, SLIEMA, MALTA หรือเทียบเท่า

  • Day 3
    ถ้ำบลูกรอตโต – หมู่บ้านประมง – เมืองวัลเลตตา
    • เช้า        รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      นําท่านล่องเรือชมทัศนียภาพความสวยงามของบริเวณที่เรียกว่า Wied iz-Zurrieq (Valley of Zurrieq) ซึ่งเป็นที่ตั้งของ ถ้ำบลูกรอตโต (Blue Grotto)  แห่งเกาะมอลต้า เป็นถ้ำทะเลในเขตชายฝั่งทางทิศใต้ของเกาะ ความโดดเด่นของถ้ำแห่งนี้ ก็คือน้ำทะเลที่เป็นสีฟ้าใสคล้ายกับสามารถสะท้อนแสงได้ในความมืด โดยเกิดขึ้นจากแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านเข้ามาจากปากถ้ำที่มีความกว้างเพียงแค่ประมาณ 2 เมตร สาดส่องลงสู่ผืนน้ำที่มีแร่เหล็กอยู่ข้างใต้ จึงเกิดการสะท้อนแสง ทำให้น้ำทะเลที่มีสีฟ้าอยู่แล้ว ยิ่งเปล่งประกายคล้ายกับการติดไฟใต้น้ำ ให้ท่านได้อิสระชมความงดงามของถ้ำ เก็บภาพความประทับใจ (หมายเหตุ : การล่องเรือขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ หากอากาศไม่เอื้ออำนวยจะจัดกิจกรรมอื่นทดแทน)
      จากนั้น นำท่านไปยัง หมู่บ้านชาวประมงมาร์แซกซ์ลอค (Marsaxlokk Fishing Village)  เป็นหมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของมอลตา มีท่าเรือประมง และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อ หมู่บ้านแห่งนี้เป็นที่รู้จักกันในนาม ตลาดมาร์แซกซ์ลอค (Marsaxlokk Market)  ซึ่งเป็นตลาดปลาขนาดใหญ่ที่อยู่ริมทะเล มีในวันอาทิตย์ และเป็นตลาดสำหรับนักท่องเที่ยวในช่วงวันอื่นๆของสัปดาห์ ในสมัยโบราณที่นี่ ถูกใช้เป็นท่าเรือขนส่ง หมู่บ้านยังได้รับความนิยมสำหรับผู้คน ทั้งหมู่ชาวบ้านและบรรดานักท่องเที่ยว ในการมาเดินเล่นไปรอบๆบริเวณชายฝั่งและท่าเรือ ที่มีบรรยากาศสบายๆ สวยงาม ภาพของอาคารไม่สูงที่สร้างเรียงรายริมฝั่ง ตัดกับภาพกลุ่มเรือประมงแบบดั้งเดิมตามวิถีชีวิตชาวบ้าน ที่มีสีสันฉูดฉาด สดใส ที่มีชื่อเรียกว่า เรือลูซซู (Luzzu) ให้ท่านได้อิสระเดินเล่นชมตลาดท้องถิ่นริมทะเลแห่งนี้ 
      กลางวัน   รับประทานอาหารกลางวัน 
      บ่าย        นำท่านเที่ยวชมเมืองหลวงแห่งมอลตา เมืองวัลเลตตา (VALLETTA) เมืองสร้างโดยอัศวินเซนต์จอห์น ในช่วงศตวรรษที่ 16-17 วัลเลตตา ถูกเปรียบเป็นดั่งพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่มีขนาดใหญ่ เพราะตัวเมืองมีอาคารสถาปัตยกรรมต่างๆ ที่สร้างในรูปแบบศิลปะผสมผสาน เช่น บารอก เรอเนสซองค์ คลาสสิก และสถาปัตยกรรมแบบสมัยใหม่ ในอดีตบางพื้นที่เคยเกิดความเสียหายครั้งใหญ่ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง แต่หลังการบูรณะซ่อมแซม เมืองวัลเลตตาก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์กรยูเนสโก (UNESCO) ในปี ค.ศ. 1980 
      นำท่าน เดินเล่นชมเมืองวัลเลตตา (Valletta Walking Tour) โดยรอบ โดยเริ่มจาก สวนบาร์ราคา (Upper Barraka Gardens) ซึ่งมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองด้านล่าง รวมทั้ง ท่าเรือหลัก (Grand Harbour) และกำแพงเมืองอันงดงาม จากนั้นเดินลงมายังถนนสายหลัก เพื่อชมอาคารที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากมาย ที่สร้างในยุคของการสร้างเมือง อาทิ เช่น โรงแรมที่พักแบบโบราณ (Auberges) อาคารที่สร้างแบบหรูหรา (Palazzos) พระราชวังหลัก (Grand Master Palace) มหาวิหารเซนต์จอห์น (St. John’s Co Cathedral) โบสถ์ Church of Order และชมผลงานศิลปะชิ้นเอกของศิลปิน Caravaggio ชื่อผลงาน "Beheading of St. John” 
      นำท่านเข้าชมด้านในของ มหาวิหารเซนต์จอห์น (St.John Cathedral) อาคารที่มีความเก่าเเก่มากอีกเเห่งในมอลตา ถูกสร้างมาตั้งเเต่สมัยศตวรรษที่ 16 ภายนอกนั้นมีความเรียบง่ายเเละไม่โดดเด่นโดยใช้สีหินทราย มีหอระฆังเเห่งวัลเลตตา ที่สูงเด่นเป็นสง่าสามารถมองเห็นได้เเต่ไกล แต่ภายในมหาวิหารนั้นมีความสวยงามอย่างมาก จากงานจิตรกรรมบนเพดานที่บอกเล่าเรื่องราวของศาสนา เเละมีการประดับประดาด้วยทองคำที่ระยิบระยับงดงามอย่างมาก นับว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญในวัลเลตตาที่ใครมาเที่ยวเเล้ว ต่างก็ต้องประทับใจกับความสวยงามของมหาวิหารเเห่งนี้
      จากนั้นนำท่านชม Malta Experience เป็นการแสดงเล่าย้อนถึงประวัติความเป็นมาของหมู่เกาะมอลตาตั้งแต่ยุคหินใหม่ จนถึงประวัติศาสตร์ในยุคปัจจุบัน (ประมาณ 45 นาที)
      ค่ำ         รับประทานอาหารค่ำ 
      เข้าพักผ่อนที่โรงแรม HOTEL PRELUNA 4*, SLIEMA, MALTA หรือเทียบเท่า
  • Day 4
    เกาะ โกโซ – ป้อมปราการวิคตอเรีย – วิหารทาพินู - เมืองวัลเลตตา
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      จากนั้นนำท่านล่องเรือข้ามฟากเดินทางสู่ เกาะโกโซ (Gozo Island) สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของมอลต้า โดยนำท่านไปยัง ท่าเรือ Cirkewwa Terminal ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะมอลตา ใช้เวลานั่งเรือข้ามฟากประมาณ 25-40 นาที (ขึ้นอยู่กับลมและสภาพอากาศ)  ขณะที่ท่านนั่งเรือข้ามไปยังเกาะโกโซ ท่านจะผ่านเกาะเล็กๆ ชื่อ เกาะโคมิโน (Comino Island) ซึ่งเป็นเกาะที่ตั้งอยู่กลางทะเลเห็นได้ชัด เป็นเกาะที่มีหน้าผาหินที่มีลักษณะขรุขระ แต่มีความสวยงาม หากมองขึ้นไปบนยอดบนสูงสุด จะเห็นป้อมปราการซานต้า มาเรีย (Santa Maria Fort) ที่เคยใช้เป็นฉากถ่ายทำหนังภาพยนตร์เรื่อง “Count of Monte Cristo” ในปี ค.ศ. 2002 
      เมื่อเดินทางมาถึงยัง เกาะโกโซ (Gozo Island)  เป็นเกาะที่มีความงดงามทางธรรมชาติมากที่สุดแห่งหนึ่งของหมู่เกาะมอลตา เป็นเกาะที่มีความเขียวขจีมากกว่าเกาะใหญ่ของมอลต้า เป็นอีกจุดหมายปลายทางยอดนิยมของเหล่านักดำน้ำ 
      จากนั้นนำท่านชม โบสถ์ทาพินู (Ta Pinu Shrine) สร้างอุทิศให้กับพระแม่มารีย์ เป็นวิหารของนิกายโรมันคาทอลิค ทำเลตั้งอยู่บริเวณใกล้หน้าผา จึงสามารถมองวิวลงไปได้กว้าง ในอดีตเป็นเพียงโบสถ์หินขนาดเล็กยุคศตวรรษที่ 15 และถูกต่อเติมและสร้างขึ้นใหม่ในช่วงปี ค.ศ.1922-1932 แบบสไตล์นีโอโรแมนติค ด้านในโบสถ์ประดับด้วยภาพโมเสค จำนวน 6 ภาพ และกระจกสีจำนวน 76 บาน และมีหอระฆังสูง 61 เมตร นับเป็นอีกหนึ่งโบสถ์ที่มีความสำคัญของคริสตจักรเนื่องจากพระสันตะปาปามาเยือนถึง 2 ท่าน นอกจากนี้โบสถ์แห่งนี้ มีเรื่องราวที่เชื่อมโยงกับ การเกิดปาฏิหารหลายสิ่งหลายอย่าง ซึ่งท่านจะได้ค้นพบด้วยตนเองเมื่อไปถึงที่นั่น 
      ต่อด้วยการนำท่านไปยัง จุดชมวิว Dwejra ที่นี่ ท่านจะเห็นอ่าว Dwejra และทะเลปิด รวมทั้ง Admiral Rock หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ Fungus Rock ซึ่งมีผู้ค้นพบพืชชนิดหนึ่ง ที่เกิดขึ้นและเติบโตบนหิน คล้ายกับกาฝากชนิดหนึ่งที่เจริญเติบโตคล้ายกับยีสต์หรือเชื้อรา แต่พืชชนิดนี้กลับมีประโยชน์มากมายทางการแพทย์ กล่าวได้ว่าสามารถใช้รักษาแผลให้หายได้ หรือห้ามเลือดได้นั่นเอง 
      จากนั้นนำท่านไปยัง หมู่บ้านหัตถกรรม  (Ta 'Dbigi Crafts Village)  เป็นหมู่บ้านหัตถกรรมที่เก่าแก่ที่สุดบนเกาะโกโซ อดีตเคยเป็นที่พักพิงของทหารอังกฤษ ที่นี่มีงานฝีมือสวยงามมากมายที่หาซื้อได้ยาก เช่น เครื่งปั้นดินเผา  แบบแฮนด์เมด แก้วที่เป่าด้วยปาก สร้อยถักแบบโกโซ เครื่องเงินแบบโกโซ ท่านสามารถซื้อไปเป็นของที่ระลึกได้จากที่นี่ อิสระให้ท่านได้เดินเที่ยวชมบริเวณรอบๆ
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน 
      บ่าย นำท่านเที่ยวชมเมืองหลักของเกาะโกโซ ที่มีชื่อเรียกว่า เมืองราบัต (Rabat) เป็นที่รู้จักกันในนาม เมืองวิคตอเรีย (Victoria) เป็นเมืองเล็กๆที่มีผู้คนมากมายอาศัยอยู่ นำท่านเดินชมรอบๆเมือง ถ่ายรูปกับ ป้อมปราการวิคตอเรีย (Victoria Fortress) หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Castello  
      พร้อมเก็บภาพความสวยงามทั้งธรรมชาติ และหมู่อาคารบ้านเรือนโรมันโบราณที่ยังคงความสวยงามจนถึงปัจจุบัน สุดท้ายก่อนเดินทางกลับ แวะชม กาล่า เบลเวเดเร (Qala Belvedere) ซึ่งเป็นจุดชมวิว ที่เป็นจุดที่สามารถถ่ายรูปเห็นทั้ง เกาะโคมิโน และ เกาะใหญ่มอลต้า ได้อย่างสวยงาม
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ 
      เข้าพักผ่อนที่โรงแรม HOTEL PRELUNA 4*, SLIEMA, MALTA หรือเทียบเท่า

  • Day 5
    เมืองวัลเลตตา (มอลต้า) – ปอซซาโล (ซิซิลี) – รากูซา – อากรีเจนโต – ปาแลร์โม
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      นำท่านเดินทางด้วยเรือเฟอร์รี่ข้ามฟากไปยังเกาะซิซิลี (Sicily) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอิตาลีทางตอนใต้ โดยนำท่านไปยังท่าเรือ เมืองปอซซาโล (Pozzallo) เพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองเอก เมืองรากูซา (Ragusa) ซึ่งเป็นเมืองหินโบราณของชาวโรมัน และที่เมืองนี้ยังได้รับให้เป็นมรดกโลก (UNESCO) ที่มีความงดงามพร้อมคุณค่าทางประวัติศาสตร์ 
      นำท่านชมเมืองที่มีบ้านเรือนสร้างจากหินสีเทา มีตรอกซอกซอย มีจัตุรัสน้อยใหญ่ที่มีอาคารสวยงามให้เดินชมมากมาย
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน 
      บ่าย นำท่านเดินทางต่อไปยังเมืองอากรีเจนโต อดีตเมืองโบราณของชาวกรีก ที่ชื่อว่า ชุมชนอัครากาส (AKRAGAS) ถือเป็นอดีตชุมชนเมืองขนาดใหญ่ที่เคยมีประชากรอาศัยอยู่มากถึง 200,000-800,000 คน 
      นำท่านชม เมืองอากรีเจนโต้ (Agrigento) โดยเมืองโบราณแห่งนี้มีอายุเก่าแก่กว่า 2,500 ปี ในอดีตชาวกรีกนิยมสร้างวิหารบูชาเทพเจ้า จึงพบซากอาคารศาสนสถานในสมัยกรีกหลงเหลือกระจายอยู่เต็มเมือง นำท่านเข้าชม หุบเขาแห่งวิหาร (Valley of Temple) กลุ่มศาสนสถานวิหารบูชาเทพเจ้ากรีก หุบเขาแห่งวิหารเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งในซิซิลี หลังมีการขุดค้นและศึกษา รวมถึงการบูรณะปฏิสังขรณ์ทางโบราณคดี จึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1997  โดยหุขเขาแห่งวิหารแห่งนี้ มีวิหารอยู่ถึง 7 แห่ง แต่มีเพียง  วิหารคองคอร์ด (Temple of Concord) ที่มีสภาพสมบูรณ์และสวยงามหลงเหลือให้เห็นอยู่ ซึ่งตัววิหารมีอายุเก่าแก่ถึง 2,000ปี สร้างในช่วงคริสตวรรษที่ 5 ในรูปแบบศิลปะกรีก ด้วยการประดับด้วยเสาแบบโดริค วิหารคองคอร์ด สร้างเพื่อบูชาเทพีคอร์เดีย เทพีแห่งความสมานฉันท์ ความเข้าใจ และความปรองดองกันในชีวิตคู่ ในตำนานเทพเจ้ากรีกที่เทียบเท่ากับเทพีฮาร์โมเนีย
      จากนั้นเดินทางต่อไปยัง เมืองปาแลร์โม (Palermo)  เมืองหลักในเกาะซิซิลี เขตปกครองอิสระของประเทศอิตาลี เมืองปาแลร์โม มีประวัติยาวนานย้อนหลังไปถึง 800 ปีก่อนคริสตกาลและผ่านการยึดครองจากชนหลายชาติหลายภาษา ทำให้มีโบราณสถานโบราณวัตถุในลักษณะและรูปแบบแตกต่างกันอยู่เป็นจำนวนมาก 
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ 
      เข้าพักผ่อนที่โรงแรม HOTEL IBIS STYLE CRISTAL 4*, PALERMO, SICILY หรือเทียบเท่า
  • Day 6
    เมืองปาแลร์โม – เปียซซา อาร์เมรีนา – เมืองคาตาเนีย
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      เที่ยวชม เมืองปาแลร์โม (Palermo) ปาแลร์โมเป็นเมืองหลวงทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของซิซิลี เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ศิลปะ ดนตรี และอาหาร และเป็นเมืองที่มีอากาศดีตลอดปี จึงดึงดูดนัดท่องเที่ยวมาก นอกจากนี้ปาแลร์โมยังเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรม และศูนย์กลางการค้าหลักของซิซิลี  เป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ด้วยเหตุนี้ “ปาแลร์โม” จึงเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำของอิตาลีและของยุโรปน
      นำท่านไปยัง จัตุรัสพริทอเรีย (Piazza Pretoria) หรือรู้จักกันในนาม “จัตุรัสแห่งความละอาย” (Square of Shame) เพื่อชม โบถส์แห่งพระเยซู (Church of Jesus) มีลักษณะเป็นลวดลายหินอ่อนสวยงาม มีภาพจิตรกรรมฝาผนัง ภาพปูนปั้น และรูปปั้นที่สวยที่สุดในเมือง จากนั้นไปชม โบสถ์เซนต์โจเซฟ (Church of St. Joseph) ซึ่งเป็นอีกโบสถ์ในเมืองที่มีความสวยงาม ต่อด้วยการแวะชม จัตุรัสกวอโต้ คานติ (Quattro Canti)  เป็นที่รู้จักอย่างเป็นทางการในชื่อ จัตุรัสเวรกอกนา (Piazza della Vergogna) เป็นจัตุรัสสไตล์บาร็อค จัตุรัสรูปแบบแปดเหลี่ยม สี่ด้านติดถนน ส่วนที่เหลืออีกสี่ด้านคืออาคารแบบบาร็อค มีน้ำพุสวยงามที่ประดับด้วยรูปปั้นต่างๆ เดินต่อไปชม จัตุรัสกลางเมืองที่เป็นที่ตั้งของ น้ำพุพริทอเรีย (Fontana Pretoria) เป็นน้ำพุสำคัญของเมือง ที่ออกแบบโดย ฟรานเซสโก้ คามิลานี ประติมากรชื่อดังแห่งยุคเรอเนสซองส์ จากเมืองฟลอเรนซ์ ในปี ค.ศ. 1554 และถูกยกมาตั้งไว้ที่เมืองปาแลร์โมแห่งนี้ในปี ค.ศ. 1574
      มีเวลาอิสระเล็กน้อย เพื่อให้ท่านได้เที่ยวชมบริเวณโดยรอบ ซึ่งสถานที่แต่ละแห่งอยู่ไม่ห่างจากกันมากนัก มีการเปรียบเปรยว่า ปาแลร์โม เป็นเสมือนพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง เพราะเป็นสถานที่ที่มีสถาปัตกรรมมากมาย และยังมีวิถีชีวิตชาวเมืองให้เห็น มี ตลาด Copa Street Markets มีถนนอาหาร ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบชาวปาแลร์โมอีกด้วย
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน 
      บ่าย จากนั้นเดินทางต่อไปยังสถานที่ประวัติศาสตร์ มีสถาปัตยกรรมที่สำคัญหลากหลายตั้งแต่ยุคกลางถึงศตวรรษที่ 18 ชม เปียซซา อาร์เมรีนา (Piazza Armerina)  ที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากสำหรับโมเสคโรมัน โดยเฉพาะที่ Villa Romana del Casale เป็นบ้านของตระกูลครอบครัวโรมันครอบครัวหนึ่ง ที่มีฐานะดีและมีอำนาจในช่วงสมัยศตวรรษที่ 4 ซึ่งเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ใช้โมเสคโรมันตบแต่งอย่างสวยงาม สถานที่แห่งนี้มี จึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1997 
      นำท่านเดินทางไปยัง เมืองคาตาเนีย (Catania)  เมืองใหญ่อันดับ 2 ของซิซิลี ตั้งอยู่บนชายฝั่งทิศตะวันออกของทะเลไอโอเนียน  เมืองคาตาเนียเคยได้รับความเสียหายอย่างหนักจากเหตุระเบิดของภูเขาไฟเอตนาในปี ค.ศ. 1169 ตัวเมืองเก่าของคาตาเนียยังคงรูปแบบของงานศิลปะกรรมในรูปแบบบารอคได้เป็นอย่างดี จึง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้อีกเช่นกัน  และที่นี่ยังเป็นถึงบ้านเกิดของผู้มีชื่อเสียงหลายคนในอิตาลี เป็นบ้านเกิดของศิลปินและนักเขียนที่มีชื่อเสียงที่สุดของอิตาลี อาทิ เช่น นักแต่งเพลง Vincenzo Bellini และ Giovanni Pacini และนักเขียน Giovanni Verga, Luigi Capuana, Federico De Roberto และ Nino Martoglio
      นอกจากนี้เมืองนี้ยังเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมหลักและการค้าของซิซิลี ที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ของอิตาลี
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ 
      เข้าพักผ่อนที่โรงแรม ART HOTEL CAPOMULINI 4*, CATANIA, SICILY หรือเทียบเท่า
  • Day 7
    เมืองคาตาเนีย – ภูเขาไฟเอตน่า – โคเซนซา
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      นำท่านเดินทางไปยังจุดชมวิว ภูเขาไฟเอตน่า (Etna Volcano)  ภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ ที่มีความสูงที่สุดในยุโรป ระดับความสูงอยู่ที่ 3,323 เมตร โดยมีฐานกว้างถึง 150 เมตร บนยอดเขาจะมีหิมะปกคลุมตลอด 9 เดือนของทุกปี ถือเป็นภูเขาไฟที่มีพลังมาก และมีคุณค่าเชิงประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก  เนื่องจากเป็นภูเขาไฟที่คงประโยชน์ทั้งทางด้านภูเขาไฟวิทยา ด้านธรณีฟิสิกส์ รวมทั้งด้านวิทยาศาสตร์ ด้วยความหลากหลายเช่นนี้ จึงได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกในปี ค.ศ. 2013 อิสระให้ท่านได้เก็บภาพเป็นที่ระลึกกับภูเขาไฟเอตน่า และชมความงามของกำแพงหิมะที่ปกคลุมภูเขาไฟ อันเป็นความงามที่น่าอัศจรรย์  ***การให้บริการของกระเช้า ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศของแต่ละวัน ทางบริษัทขอสงวนการเปลี่ยนแปลงรายการโดยเน้นความปลอดภัยของผู้เดินทางเป็นหลัก***
      จากนั้นนำท่านชม เมืองคาตาเนีย (Catania) เมืองที่เต็มไปด้วยสถานที่ที่มีความน่าสนใจทางประวัติศาสตร์ และความงดงามทางศิลปวัฒนธรรม เดินชมสถานที่สำคัญในบริเวณโดยรอบ เช่น  
      Piazza Del Duomo, Fontana Dell’Elefante, Fontana Dell’Amenano, Catania Cathedral, Palazzo degli Elefanti, Teatro Romano ซึ่งทุกแห่งล้วนมีความงามในตัวสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกันออกไป 
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย จากนั้นนำท่านขึ้นรถไฟไปยัง  เมืองโคเซนซา (Cosenza) เป็นเมืองทางใต้ของอิตาลี ตรงบริเวณที่แม่น้ำบูเซนโต กับแม่น้ำกราติสไหลมาบรรจบกัน เป็นเมืองหลวงของจังหวัดโคเซนซา มีสถาบันโคเซนเทียน (Cosentian Academy) ที่ถือว่าเป็นสถานที่ศึกษาด้านปรัชญาและวรรณคดีแห่งแรก ที่ก่อตั้งในอิตาลีและในยุโรป (คศ. 1511) เป็นอีกหนึ่งเมืองที่สวยงามมากของอิตาลีใต้  
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ
      เข้าพักผ่อนที่โรงแรม HOTEL ROYAL 4*, COSENZA, SOUTH ITALY หรือเทียบเท่า
  • Day 8
    โคเซนซา – เมืองมาเทรา – เมืองอัลเบอโรเบลโล - บารี
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      นำท่านเดินทางสู่ เมืองมาเทรา (Matera) เป็นอีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ในแคว้นบาซีลีกาตา (Basilicata) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ลูคาเนีย (Lucania) หนึ่งใน 20 แคว้นของประเทศอิตาลี ตัวเมืองตั้งอยู่เหนือหุบเขาที่มีแม่น้ำสายเล็กๆไหลผ่าน เมื่อเดินทางเข้าภายในตัวเมือง ในเขตซาสซี่ (Sassi) จะได้พบกับถนนสายเล็กๆที่ปูด้วยหิน และตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนอันแสนเก่าแก่ จึงเป็นเมืองที่ได้รับการขนานนามว่า “เมืองใต้ดิน” หรือ “เมืองมนุษย์ถ้ำ” และได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์กรยูเนสโก้ ในปี ค.ศ. 1993 นำท่านชมความงดงามของ นครถ้ำโบราณมาเทรา (Cave of Matera) ซึ่งเป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่กว่า 9,000 ปี เมืองนี้จึงเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวชม เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวหลักในอิตาลี  
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย เดินทางต่อไปยัง  เมืองอัลเบอโรเบลโล (Alberobello) เมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดบารี (Bari) แคว้นปูเกลีย (Pugia) ประเทศอิตาลี เป็นหมู่บ้านหินปูนของชุมชนโบราณ ที่ชื่อว่า Trulli นำท่านเที่ยวชม  หมู่บ้านหินปูนที่เมืองอัลเบอโรเบลโล ที่มีลักษณะสวยงามแปลกตา ตัวบ้านและอาคารทาสีขาวสะอาดตตา มีหลังคาโดดเด่น เป็นรูปทรงกรวยหรือยอดทรงกลม เมืองจึงได้ถูกประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรมขององค์กรยูเนสโก้ ในปี ค.ศ.1996 อิสระให้ท่านได้ถ่ายรูปเพลิดเพลินไปกับหมู่บ้านหินปูนโบราณสีขาวแปลกตา ที่หาชมได้ยากในที่อื่นๆในโลก
      นำท่านเดินทางไปยัง เมืองบารี (Bari) เมืองที่อยู่ใกล้กับทะเลเอเดรียติก จนได้รับสมญานามว่า “แคลิฟอร์เนียตอนใต้ของอิตาลี” เป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางการค้า เป็นศูนย์กลางการเดินเรือ ในอดีตเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรไบแซนไทน์ทางตอนใต้ของอิตาลี ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมืองนี้ได้ถูกทำลายด้วยระเบิดไดนามิก แต่ได้รับการบูรณะสร้างขึ้นมาใหม่ ปัจจุบันจึงเห็นบ้านเรือนที่ทันสมัยเป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังคงกลิ่นอายซากความเจริญในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ
      เข้าพักผ่อนที่โรงแรม HOTEL EXCELSIOR 4*, BARI, SOUTH ITALY หรือเทียบเท่า
  • Day 9
    บารี – อิสตัลบูล
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม 
      นำท่านเดินชมเขตเมืองเก่าบารี Bari Vecchia (Old Town) ในถนนแคบๆ ของย่านเมืองเก่า ซึ่งบางส่วนเป็นเหมือนตรอกเล็กๆ ที่คล้ายเป็นเขาวงกต เดินเลาะเลี้ยวผ่านชมบรรดาบ้านเรือนเก่าแก่ที่งดงาม รวมถึงมีโบสถ์หลายหลังและแท่นบูชาที่ตั้งซ่อนอยู่ในกำแพงมุมสี่เหลี่ยมเล็กๆ ซึ่งเดินแล้วอาจหลงทางได้ง่าย เดินต่อมาพบกับ มหาวิหารเซ็นต์นิโคลัส (Basilica of Saint Nicolas) ชาวอิตาลีรู้จักท่านในนามว่า SAN NICOLA สถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่เก็บพระธาตุของนักบุญนิโคลัส (ชาวคริสต์นิยมขอพรเรื่องความปลอดภัยในการเดินทางกับท่าน) โบสถ์แสวงบุญขนาดใหญ่เริ่มสร้างขึ้นในปีค.ศ.1087 และแล้วเสร็จในปีค.ศ.1197 ซึ่งเป็นหนึ่งในความสำเร็จที่ดีที่สุดของสถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ในแคว้นอาปูเลีย ด้านในเหนือแท่นบูชาสูงเป็นพลับพลาในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 12 ด้านขวาของแท่นบูชาคือมาดอนน่ากับนักบุญโดยวิวารินี ทาสีในปี ค.ศ.1476 ตรงโถงทางเดินเป็นบัลลังก์ของบิชอปหินอ่อนและหลุมฝังศพของโบนา สฟอร์ซาในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 16 พระชายาในพระเจ้าซิกิสมุนด์ที่ 2 แห่งโปแลนด์ และดัชเชสองค์สุด ท้ายของบารี

      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      นำท่านชมบรรยากาศเมืองบารี เที่ยวชมทางฝั่งตะวันตกของเมืองเก่า ปราสาทคาสเตลโล สเวโว(CASTELLO SVEVO) ซึ่งเดิมเป็นอาคารแบบไบแซนไทน์-โรมาเนสก์ สร้างขึ้นใหม่โดยเฟรเดอริกที่ 2 ในปีค.ศ.1233 ในสไตล์นอร์มัน-สวาเบียน กาลต่อมาดัชเซส โบนา สฟอร์ซา (Duchess Bona Sforza) ได้ดัดแปลงเป็นพระราชวังในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เพิ่มป้อมปราการและหอคอยมุมเหนือคูน้ำ ต่อมาใช้เป็นเรือนจำและสถานีสัญญาณ หอคอยสองแห่งของโครงสร้างนอร์มันยังคงอยู่ที่นี่ ปัจจุบันอาคารหลังนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจซึ่งมีประติมากรรม Apulian-Norman และนิทรรศการศิลปะชั่วคราวให้ชม ครั้นได้เวลาพอสมควร นำท่านเดินทางไปยังสนามบินนานาชาติบารี เพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับสู่ประเทศไทย

      17.00 น. เดินทางถึงสนามบินบารี เตรียมทำการเช็คอินเพื่อกลับสู่ประเทศไทย
      20.15 น. เหินฟ้าสู่ อิสตันบลู ประเทศตุรกี โดยเที่ยวบินที่ TK 1466 (20.15-23.20) 
      (ใช้เวลาบิน 2 ชั่วโมง 5 นาที) (บริการอาหารบนเครื่อง)
      23.20 น. เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติอตาเติร์ก กรุงอิสตันบลู หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองแล้ว รอเปลี่ยนเครื่องเพื่อเดินทางต่อกลับสู่ ประเทศไทย
  • Day 10
    อิสตัลบูล - กรุงเทพฯ
    • 01.45 น. เหินฟ้าสู่ อิสตันบลู ประเทศตุรกี โดยเที่ยวบินที่ TK 068 (01.45-15.25) 
      (ใช้เวลาบิน 9 ชั่วโมง 40 นาที) (บริการอาหารบนเครื่อง)
      15.25 น. เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ

Top